two sight(the ultimate scrifice)
บางคนอาจมองสิ่งที่ตัวเองเห็น บางคนใช้ความรู้สึก แต่จะมีใครซักคนรึเปล่า ที่แม้ว่าจะพยายามแค่ไหนแต่ก็ไม่สามารถอยู่ในสายตาของกันและกันได้
ผู้เข้าชมรวม
183
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
Two hearts passing in the night
Falling in love
Never able to gain each other's sight.
วันนี้เป็นวันที่ผมดีใจที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ หลังจากที่ต้องวนเวียนอยู่ในความมืดเป็นเวลาที่ผมก็เกือบจะจำไม่ได้ ผมไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะจำมันไปเพื่ออะไร ความรู้สึกหลังจากที่ผมได้รับอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อหลายปีก่อนทำให้ผมต้องสูญเสียประสาทการมองเห็นไป ผมคงต้องโทษตัวเองที่ทำอะไรประมาทอย่างนั้น บางครั้งผม
รู้สึกอยากจะตายให้พ้นๆไป แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมมีความหวังคือ เจ้าของเสียงใสๆ ที่ผมได้เจอกับเธอเมื่อปีก่อนโดยบังเอิญ ที่หอสมุดแห่งหนึ่ง ซึ่งผมได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างที่นั่น ตอนนั้นผมทุกข์ใจมากกับสิ่งที่เป็นอยู่ แต่เธอบอกให้ผมเข้มแข็ง ทำให้ผมรู้สึกว่าผมยังไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลก ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องเชื่อคำพูดของเธอได้ แต่เมื่อใดที่เสียงใสๆของเธอพูดเพื่อผมมันทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย และอบอุ่นในเวลาเดียวกัน ช่วงนั้นผมเริ่มทำใจได้ แต่จู่ๆเธอก็หายไป ผมไม่รู้ว่าจะตามเธอได้ที่ไหนนอกจากการไปรอที่หอสมุดนั่นทุกวัน โดยมี "พิกซ์"
สุนัขที่ผมเลี้ยงคอยนำทาง แต่เธอก็ไม่เคยมาหาผมอีกเลย
ผมกระพริบตาถี่ๆเพื่อปรับแสง และยอมรับชีวิตใหม่ที่จะเกิดขึ้นอีกครั้ง ผมมองไปรอบๆห้อง พ่อกับแม่ดีใจจนน้ำตาไหล ท่านทั้งสองเข้ามาโอบกอดผมอย่างรักใคร่และดีใจ ผมก็ดีใจไม่แพ้กับท่านเหมือนกัน จนช่วงนั้นใครก็บอกว่าผมบ้าส่องกระจก ซึ่งก็อาจจะจริง อันนี้คงต้องยอมรับ ฮ่าๆ
ผมส่งจดหมายขอบคุณไปที่ธนาคารบริจาคร่างกายนั้น พร้อมกับสอบถามที่อยู่ของผู้บริจาคเพื่อไปขอบคุณครอบครัวของเขาด้วยตัวเอง หลังจากเครื่องลงผมตรงดิ่งไปที่บ้านนั้นทันที มันเป็นบ้านไม้สองชั้นตั้งอยู่ในสนามหญ้าสีเขียวชอุ่มกว้างขวาง สวนสวยถูกจัดอย่างเป็นระเบียบสวยงาม ผมไม่รอช้ากดกริ่งหน้าประตูบ้าน
มีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเดินออกมาต้อนรับ พร้อมถามผมว่าเป็นใคร มีธุระอะไรอย่างสุภาพ ซึ่งเมื่อผมแนะนำตัวเสร็จ เธอก็ยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยนก่อนจะเชิญเข้าบ้าน ในบ้านถูกตกแต่งด้วยเครื่องเรือนไม้โอ๊คบรรยากาศดูอบอุ่น เหมาะกับฤดูใบไม้ผลิซึ่งเป็นฤดูตอนนี้พอดี เธอให้ผมนั่งพร้อมกับเสิร์ฟของว่างก่อนจะมานั่งคุยด้วย
ผมเห็นสีหน้าเศร้าเล็กๆ ที่แฝงอยู่ในนัยน์ตาของเธอเมื่อเอ่ยถึงบุตรสาวคนเดียวที่ได้จากไปเมื่อ2ปีก่อน ซึ่งเธอก็คือผู้บริจาคดวงตาให้ผมนั่นเอง คุณนายเบอร์ทิชเล่าให้ผมฟังหลายๆอย่างเกี่ยวกับลูกสาวของเธอ พร้อมกับให้ดูรูป หลายๆรูปในห้องนั่งเล่น เธอบอกว่า ลูกสาวของเธอ "ลินดา"เป็นคนเขียนเองก่อนที่เธอจะรับการผ่าตัดเนื้องอกในสมอง ผมนั่งอยู่ตรงนั้นจนเกือบเที่ยง ซึ่งหญิงสาวก็ชวนให้เขาทานอาหารกลางวันด้วยกัน และถ้าเขายังไม่มีที่พักก็อยู่กับเธอและสามีที่นี่ก่อนก็ได้ ซึ่งผมก็ตกลง
"เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนรึเปล่าจ๊ะ อเล็กซ์ ฉันรู้สึกเหมือนฉันเคยเห็นหน้าเธอ" แต่ผมปฏิเสธ เพราะผมนึกไม่ออกจริงๆ นั่นเป็นคำตอบสุดท้ายของวัน ก่อนที่ผมจะเข้าห้องและหลับไปในที่สุด
ในวันรุ่งขึ้น และวันต่อๆมา ผมได้ใช้เวลาร่วมกับครอบครัวนี้อย่างเป็นกันเอง ผมได้มีโอกาสเข้าไปในห้องของลูกสาวเธอ "ลินดา" มันประกอบไปด้วย โต๊ะหนังสือที่มีหนังสือเก็บอย่างเป็นระเบียบ เตียงนอนไม้เล็กๆ
มีไวโอลินวางอยู่บนนั้น ดูเหมือนห้องนี้จะทึบกว่าห้องอื่นมาก เพราะอยู่ภายในตัวบ้าน ผมเดินเข้าไปที่โต๊ะหนังสือ มีรูปของเธอกับเพื่อนสนิทสามคน และครอบครัวถ่ายร่วมกันที่ทะเลไหนซักแห่ง มีหนังสือ เฮเกล กับพลาโต วางไว้บนโต๊ะ ผมเคยอ่านมันเมื่อนานมาแล้วในภาษาเบรลล์ และผมชอบมากทีเดียว ผมหยิบขึ้นมาเปิดๆดู จนมาถึงหน้าที่เจ้าของคั่นไว้ ที่คั่นเป็นที่คั่นทำมือ แล้ววาดรูปลงไปผมจำได้ว่า เป็นสนามหญ้าหน้าห้องสมุดที่ผมเคยไป พอผมละสายตาจากที่คั่นหนังสือ ผมก็เห็นที่มุมห้องด้านตรงกันข้าม
มีรูปๆหนึ่งวางประดับไว้ แต่กลับคลุมด้วยผ้าสักหลาด อีกชั้น ซึ่งสร้างความอยากรู้อยากเห็นให้ผม เพราะ
ภาพแต่ละภาพในบ้านนี้ สวยมากทั้งนั้น และล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือของลินดาทั้งสิ้น
ผลงานอื่นๆ ของ Intelecorps ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Intelecorps
ความคิดเห็น